ถ้าพูดถึง เฟอร์นิเจอร์สั่งทำ ประเภทไม้ เชื่อว่าทุกคนจะต้องนึกถึง เฟอร์นิเจอร์ไม้สักเก่า เป็นอันดับแรก เนื่องจาก เฟอร์นิเจอร์ไม้สักเก่า เป็นที่นิยมมาอย่างยาวนานในประเทศไทย เนื่องจากเอกลักษณ์ที่มีความเป็นไทย และความสวยงาม แข็งแรง ทนทานเป็นอย่างมาก โดยส่วนมากแล้วไม้สัก นิยมไปทำเฟอร์นิเจอร์ เช่น โต๊ะ เก้าอี้ ตู้ไม้สักเก่า ประตู หน้าต่างและเฟอร์นิเจอร์อื่น ๆ อีกมากมาย ไม้สักที่ใช้ทำเฟอร์นิเจอร์มีหลายประเภท เช่น ไม้สักป่าปลูก ไม้สักป่าธรรมชาติ และ ไม้สักจากบ้านเรือนเก่า โดยไม้แต่ละประเภทต่างก็มีคุณสมบัติที่ไม่เหมือน ดังนั้น การนำไปใช้งานหรือแปรรูปจึงมีความเหมาะสมที่แตกต่างกัน บทความวันนี้ เรามาทำความรู้จักกับไม้สัก สำหรับการผลิตเฟอร์นิเจอร์
ทำความรู้จักกับ ต้นไม้สัก
ไม้สัก มีชื่อภาษาอังกฤษทางการค้าว่า ทีก (teak) ได้จากต้นสัก ไม้สักชั้นหนึ่งมีเนื้อไม้สีน้ำตาลทอง และมีเส้นลวดลายสีดำ เรียกว่า “สักทองลายดำ” เนื้อไม้สักค่อนข้างละเอียดมีเสี้ยนตรงทำให้ง่ายต่อการเลื่อย ไส และตบแต่ง มีความแข็งแรงเท่าเทียมกับไม้เนื้อแข็งชนิดอื่นๆ อาจจะใช้ในการทำ เฟอร์นิเจอร์สั่งทำ งานก่อสร้าง และทำโครงสร้างของที่อยู่อาศัย ใช้ทำดาดฟ้าเรือ ทำเครื่องเรือน และแกะสลักได้อย่างสวยงาม นอกจากไม้สักจะมีคุณสมบัติป้องกันปลวก และเชื้อเห็ดราแล้ว ยังมีความทนทานต่อลมฟ้าอากาศได้อย่างดีเยี่ยม ดังจะเห็นได้จากสภาพของโบสถ์ วิหาร หรือบ้านที่มีอายุหลายร้อยปี ที่สร้างขึ้นด้วยไม้สัก ในจังหวัดทางภาคเหนือของประเทศ ทั้งนี้เนื่องจากเนื้อไม้ของไม้สักมีน้ำมัน และสารแทรกบางชนิด เช่น สารเทคโตควิโนน ซึ่งเป็นสารมีพิษต่อปลวกและเห็ดราบางชนิด
ลักษณะโดยทั่วไปของต้นสัก

สัก เป็นไม้ป่าผลัดใบ ขึ้นอยู่ในป่าเขตร้อน มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า เทคโตนาแกรนดิส (Tectona grandis) อยู่ในวงศ์เวอร์เบนาซีอี (Verbenaceae) ซึ่งค้นพบและตั้งชื่อโดย ลิเนียส เอฟ (Linnaeus F.) บุตรชายของลินเนียส นักพฤกษศาสตร์ชื่อดังของโลก
ลำต้น
สัก เป็นไม้ยืนต้น สูงตั้งแต่ 20 เมตรขึ้นไป และอาจสูงถึง 50 เมตร ดังเช่นต้นสักที่ใหญ่ที่สุดของโลก ซึ่งขึ้นอยู่ที่อำเภอน้ำปาด จังหวัดอุตรดิตถ์ ความโตของลำต้นวัดเป็นเส้นรอบวงได้ถึง 9.30 เมตร (หรือเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 3 เมตร) มีอายุไม่ต่ำกว่าพันปี
ลักษณะลำต้นของสักจะสูง ตรง และชะลูด ปราศจากกิ่งก้าน จนใกล้จะถึงยอด โคนต้นเป็น รอยหยักเว้า ยอดเป็นพุ่มกว้างและกลม สีของลำต้นเป็นสีน้ำตาลปนเทา เปลือกแตกเป็นร่องตื้นๆ ตามความยาวของลำต้น เมื่อถากหรือสับลำต้นดู จะพบว่า เปลือกนอกหนาประมาณ 1-2 เซนติเมตร เปลือกในมีสีน้ำตาล และเขียวอ่อน กระพี้ขาวและหนา เนื้อไม้เป็นสีน้ำตาลทอง แลเห็นลายเส้นวงปีชัดเจน และลายเส้นวงปีนี้ จะบอกถึงอายุของต้นสักต้นนั้นๆ ได้โดยความโต 1 วง จะใช้เวลา 1 ปี
ใบ
ใบสักแตกออกตามกิ่งก้าน หรือตามลำต้นเล็กๆ ของกล้าไม้เป็นคู่ๆ ตรงข้ามกัน เมื่อต้นยังเล็ก ใบสักก็จะมีขนาดใหญ่มาก อาจมีความกว้างถึง 40 เซนติเมตร และยาวถึง 80 เซนติเมตร เมื่อต้นสักมีอายุมากขึ้น ขนาดของใบจะลดลง รูปของใบจะมีลักษณะโป่งตรงกลาง และเรียวแหลม ทั้งโคนและปลายใบ ผิวของใบสากคาย เนื่องจากมีขนแข็งเล็กละเอียดตลอดทั้งใบ หลังใบจะมีสีเขียวเข้ม เห็นลายเส้นเป็นร่างแหชัดเจน และมีต่อมสีดำเล็กๆ ท้องใบมีสีเขียวอ่อนเห็นลายเส้นนูน ใบอ่อนที่เพิ่งแตก มีสีน้ำตาลแดง และมีขนอ่อนนุ่ม เมื่อขยี้ดูจะมีสีแดงคล้ายเลือด เนื่องจากมีสารแทรกในใบสัก เป็นไม้ผลัดใบ ใบเริ่มเปลี่ยนสีเป็นเหลือง น้ำตาลและแดง ในช่วงเดือนพฤศจิกายน – ธันวาคม ต่อมาในช่วงเดือนมกราคม – มีนาคม ใบสักจะร่วงจนหมดต้น ดูคล้ายต้นสักตายแห้ง เมื่อฝนเริ่มในเดือนเมษายน – พฤษภาคม ก็จะแตกใบอ่อนใหม่
ดอก
ใบอ่อนที่แตกจะเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว และโตเต็มที่ราวๆ เดือนกรกฎาคม ช่อดอกจะเริ่มแทงออกมา ดอกสักเล็ก ๆ เริ่มทยอยบาน ช่วงเวลาที่ดอกสักบาน คือ เดือนกันยายน ดอกสักช่อหนึ่งๆ ยาวประมาณ 40-60 เซนติเมตร แต่ละช่อดอกประกอบด้วยดอกเล็กๆ สีขาวหรือขาวแต้มม่วง และมีจำนวนมากถึงช่อละ 750-3,000 ดอก ขึ้นอยู่กับความสมบูรณ์ของช่อดอกและลำต้น ดอกสักจะทยอยบานไปเรื่อยๆ ใช้เวลาประมาณ 3-4 สัปดาห์ ดอกที่เริ่มบานตอนเช้าจะร่วงหล่นในตอนเย็น หรือเช้าวันถัดไป
ในกรณีที่ดอกไม่ได้รับการผสมเกสร ดอกสักแต่ละดอกมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 6-8 มิลิเมตร มีกลีบดอกสีขาว หรืออาจมีสีม่วงสลับ จำนวน 6 กลีบ ในดอกประกอบด้วย ก้านเกสรตัวผู้ชูอับเรณู สีเหลือง 6 ก้าน ตรงกลางดอกมีก้านเกสรตัวเมียขนาดใหญ่ 1 ก้าน ปลายก้านแยกเป็น 4 แฉก ชูเกสรตัวเมีย ที่ฐานของก้านเกสรตัวเมีย และฐานดอก เป็นกระเปาะของรังไข่ ภายในมีช่อง 4 ช่อง ช่วงเวลาที่เหมาะสมแก่การผสมเกสรของดอกสัก คือ ประมาณ 11.00 – 15.00 นาฬิกา โดยมีแมลง เช่น ผีเสื้อ ผึ้ง และมด เป็นต้น เป็นตัวช่วยผสมเกสร
ผลและเมล็ด
หลักจากได้รับการผสมเกสรแล้ว ดอกสักก็เจริญเติบโตเป็นผลเล็กๆ ใช้เวลาประมาณ 50 วัน ผลจึงเจริญเต็มที่ ประมาณเดือนมกราคมผลสักที่แก่จัดหรือแห้ง จะมีสีน้ำตาล จากนั้นก็ร่วงหล่นตามธรรมชาติ เมื่อมีพายุฝนแรกในราวกลางเดือนเมษายน ผลที่แก่จัดหรือแห้งนี้ จะขยายตัวพองกลม มีเปลือกนอกเป็นแผ่นบางพองสีน้ำตาล แผ่นบางนี้แปลงสภาพมาจากกลีบดอกหลังการผสม ลักษณะกลมแข็ง มีขนสีน้ำตาลหุ้ม เปลือกของผลในมีสองชั้น ชั้นนอกเหนียวและหยุ่น ห่อหุ้มเปลือกชั้นในที่แข็งคล้ายกะลามะพร้าว ข้างในสุดของผลเป็นโพรง เมื่อถึงฤดูฝน ผลหรือเมล็ดสักเหล่านี้ ก็จะแตกออก และเจริญเติบโตกลายเป็นต้นกล้าอันล้ำค่าต่อไป
คุณสมบัติของ เฟอร์นิเจอร์สั่งทำ จากไม้สัก ประเภทต่าง

สำหรับอุตสาหกรรมสำคัญอย่างเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งครัวเรือนในประเทศไทยนั้น ไม้สัก นั้นถือว่าเป็น พรรณไม้ที่นิยมนำมาใช้ในกระบวนการผลิตในอุตสาหกรรมเป็นอย่างมาก ราคาไม้สัก แม้จะมีราคาสูง แต่เมื่อเทียบกับความปราณีตและคุณภาพในการผลิตนั้นก็ถือว่าคุ้มค่าสมราคาเป็นอย่างมาก เนื่องจากไม้สักแต่ละประเภทนั้นจะมีคุณสมบัติ ดังนี้
- ไม้สักป่าปลูกหรือไม้สักสวนป่า คือไม้สักที่ปลูกในพื้นที่เอกชน หรือที่เราเรียกกันว่าพื้นที่ นส.3ก.อายุของไม้ 30 – 40 ปี จัดเป็นไม้สักที่มีราคาย่อมเยา เนื่องจากสภาพของไม้จะมีเนื้อของแกนไม้น้อย มีกระพี้ มีตาไม้ค่อนข้างเยอะเพราะเลื่อยจากซุงต้นเล็ก มักจะนำมาทำเฟอร์นิเจอร์ที่มีขนาดเล็กและราคาไม่สูงมากนัก ปลูกมากบริเวณ จังหวัดแพร่ สุโขทัย พิษณุโลก ควบคุมโดยองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ โดยไม้ชนิดนี้มักจะถูกนำมาทำเฟอร์นิเจอร์โดยทั่วไป
- ไม้สักเก่า ทำมาจากไม้สักเรือนเก่าอายุ 80 ปีขึ้นไป ที่ทำการรื้อถอนจากบ้านเก่าจากนั้นจึงนำมาทำเป็นเฟอร์นิเจอร์ ลักษณะของไม้ประเภทนี้จะมีสีออกน้ำตาลคล้ำ ซึ่งถือว่าเป็นไม้สักที่มีคุณภาพดีที่สุด เพราะมีความชื้นทางธรรมชาติต่ำ และเมื่อนำมาทำเป็นเฟอร์นิเจอร์จะมีราคาแพงที่สุดในบรรดาไม้สักประเภทอื่นๆ เพราะไม่ต้องกังวลเรื่องการหดตัวและรอยแตกของไม้
- ไม้สักป่าธรรมชาติ เลื่อยจากซุงต้นใหญ่จากป่าธรรมชาติอายุประมาณ 100 ปี เป็นไม้นำเข้าจากประเทศเมียนมาร์ 100% ในประเทศไทยไม่มีเนื่องจากปลูกทดแทนไม่ทันต่อความต้องการใช้งาน มีลวดลายสวยงาม เนื้อไม้แกร่งและทนทานเพราะเลื่อยจากไม้ต้นใหญ่ มีราคาสูง นิยมนำมาทำเป็นวงกบ ประตู หน้าต่าง โต๊ะที่ต้องการโชว์ลายไม้
ไม้สักที่ใช้ทำเฟอร์นิเจอร์มีหลายประเภท เช่น ไม้สักป่าปลูก ไม้สักป่าธรรมชาติ และ ไม้สักจากบ้านเรือนเก่า โดยไม้แต่ละประเภทต่างก็มีคุณสมบัติที่ไม่เหมือน ดังนั้น การนำไปใช้งานหรือแปรรูปจึงมีความเหมาะสมที่แตกต่างกัน
เมื่อพูดถึงไม้สักป่าปลูกและไม้สักป่าธรรมชาติ ไม้ทั้งสองชนิดนี้ เมื่อถูกตัดนำมาแปรรูปแล้วจะต้องผ่านกระบวนการอบไม้เพื่อให้ไม้แห้งก่อนนำมาใช้งาน แต่ดูเหมือนว่าการทำให้ไม้แห้งอย่างไม่่เป็นธรรมชาติ ส่งผลให้เวลาประกอบไม้เป็นเฟอร์นิเจอร์มักจะมีปัญหาไม้ยืดหดตามมา หรือเมื่อประกอบเป็นเฟอร์นิเจอร์เสร็จแล้วและใช้งานไปได้ระยะหนึ่ง เฟอร์นิเจอร์อาจจะเกิดการแตกของเนื้อไม้ ทำให้เฟอร์นิเจอร์มีตำหนิได้
ฉะนั้น เฟอร์นิเจอร์สั่งทำ จากไม้สักเก่า จึงถือว่ามคุณภาพดีที่สุด เพราะมีความแข็งแรงที่เพิ่มขึ้นตามอายุไม้ และการแห้งโดยธรรมชาติของเนื้อไม้ตามกาลเวลา จะไม่ทำลายเนื้อเยื่อของไม้ไปโดยทันที ต่างจากการทำให้ไม้แห้งด้วยกระบวนการอบ กล่าวโดยสรุป จากหัวข้อของบทความที่ถามว่า ไม้สักประเภทไหนเหมาะแก่การนำมาทำเฟอร์นิเจอกมากที่สุด คำตอบที่ได้ ก็คงจะเป็น เฟอร์นิเจอร์สั่งทำ จากไม้สักเก่า นั้นเอง หากคุณสนใจเฟอร์นิเจอร์จากไม้สักเก่า สามารถติดตามสินค้าของ Wood Action เฟอร์นิเจอร์เพื่อชุมชน ได้ รวมถึงสามารถปรึกษาการออกแบบเฟอร์นิเจอร์ไม้สักด้วยตัวเองกับเรา